6 ข่าวสำคัญวงการคริปโต: การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ที่กำหนดอนาคตการเงินโลก 2025

การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ที่กำหนดอนาคตการเงินโลก 2025

บทนำ

หากจะพูดถึงปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการคริปโตเคอเรนซี ปี 2024 จะต้องถูกจารึกไว้เป็นหนึ่งในปีที่สำคัญที่สุด ด้วยเหตุการณ์สำคัญมากมายที่เกิดขึ้น ทั้ง การทะลุจุดสูงสุดใหม่ของ Bitcoin ที่ $108,000 การอนุมัติ ETF จาก SEC การ Halving ครั้งที่ 4 ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม

จากข้อมูลของ CoinmarketCap พบว่า มูลค่าตลาดรวมของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก $1.7 ล้านล้านในเดือนมกราคม สู่ระดับ $3.4 ล้านล้านในปลายปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากนักลงทุนทั่วโลก

บทความนี้ จะพาคุณกลับไปดู 6 เหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการคริปโตในปี 2024 พร้อมวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ผลกระทบ และอนาคตของอุตสาหกรรมนี้

การอนุมัติ Bitcoin ETF: จุดเริ่มต้นของยุคทองการลงทุนคริปโต

วันที่ 10 มกราคม 2024 จะถูกจดจำว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ของวงการคริปโต เมื่อ SEC สหรัฐฯ อนุมัติ Bitcoin ETF รายแรก หลังจากปฏิเสธมาหลายครั้งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การอนุมัติครั้งนี้เปิดประตูให้นักลงทุนสถาบันสามารถเข้าถึง Bitcoin ได้อย่างถูกกฎหมายและมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม

  • ความสำเร็จของวันแรก: BlackRock และ Fidelity เป็นผู้นำในการเสนอขาย ETF รายแรกๆ โดย สามารถระดมทุนได้ถึง $5 พันล้านในวันแรกของการซื้อขาย สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงิน Larry Fink, CEO ของ BlackRock กล่าวว่า

“นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการลงทุนดิจิทัล ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการลงทุนในอนาคต”

  • การเติบโตที่เกินความคาดหมาย: ความสำเร็จของ Bitcoin ETF เกินความคาดหมายของตลาด โดย มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของ ETF ทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก $28 พันล้านในช่วงแรก มาเป็น $120.8 พันล้านในปลายปี

นอกจากนี้ การเข้ามาของ ETF ยังสร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายประการ

การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพคล่อง

  • ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin เพิ่มขึ้น 300%
  • Spread ระหว่างราคาซื้อ-ขายลดลง
  • ความผันผวนของราคาลดลง 45%

การเปลี่ยนแปลงด้านความน่าเชื่อถือ

  • การยอมรับจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น
  • มาตรฐานการกำกับดูแลสูงขึ้น
  • ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น

การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน

  • การพัฒนาระบบคัสโตเดียน
  • การปรับปรุงระบบการซื้อขาย
  • การพัฒนาเครื่องมือบริหารความเสี่ยง

Bitcoin Halving ครั้งที่ 4: การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่ออนาคตของ Bitcoin

เดือนมีนาคม 2024 ไม่เพียงแต่เป็นเดือนที่ Bitcoin ทำลายสถิติราคาสูงสุดที่ 69,000 เท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญของ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นกลไกที่ Satoshi Nakamoto ออกแบบไว้ตั้งแต่แรกเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin

ผลกระทบของ Halving ต่อระบบนิเวศ Bitcoin

การปรับลดรางวัลการขุดลงครึ่งหนึ่งส่งผลกระทบหลายด้าน

การเปลี่ยนแปลงด้านอุปทาน

  • รางวัลต่อบล็อกลดลงจาก 6.25 เป็น 3.125 BTC
  • อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 0.9% ต่อปี
  • Bitcoin ใหม่ที่เข้าสู่ตลาดลดลง 50%

การลดลงของอุปทานใหม่นี้ส่งผลโดยตรงต่อภาพรวมของตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันเพิ่มสูงขึ้น

A person standing in front of a graph Description automatically generated

ด้วยกลไกควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้คนเลือก Bitcoin เป็นที่เก็บมูลค่า

ผลกระทบต่อนักขุด

  • ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการขุด
  • เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด
  • เกิดการควบรวมกิจการของผู้ประกอบการ

นักขุดต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร หลายรายเลือกย้ายฐานการผลิตไปยังพื้นที่ที่มีต้นทุนพลังงานต่ำ บางรายหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

เปรียบเทียบกับ Halving ครั้งก่อน

การมองย้อนกลับไปที่ประวัติศาสตร์ของ Halving ช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบได้ดียิ่งขึ้น

Halving ครั้งที่ 1 (2012)

  • ราคาก่อน Halving: $12
  • ราคาสูงสุดหลัง Halving: $1,000
  • ผลตอบแทน: +8,000%

การ Halving ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ Bitcoin ยังเป็นที่รู้จักในวงแคบ การลดอุปทานจึงส่งผลกระทบต่อราคาอย่างมาก

Halving ครั้งที่ 2 (2016)

  • ราคาก่อน Halving: $650
  • ราคาสูงสุดหลัง Halving: $19,000
  • ผลตอบแทน: +2,800%

ตลาดเริ่มมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น มีการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ และเริ่มมีความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน

Halving ครั้งที่ 3 (2020)

  • ราคาก่อน Halving: $8,800
  • ราคาสูงสุดหลัง Halving: $69,000
  • ผลตอบแทน: +600%

ตลาดมีความซับซ้อนมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์การลงทุนหลากหลาย และได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก

ผลกระทบระยะยาว

นักวิเคราะห์มองว่า Halving ครั้งที่ 4 อาจส่งผลต่อราคาแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เนื่องจากตลาดมีผู้เล่นใหม่ทั้งรายใหญ่และย่อยมากขึ้น การเข้ามาของ ETF และนักลงทุนสถาบันทำให้การเคลื่อนไหวของราคามีเหตุผลมากขึ้น แม้ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าในอดีต แต่ก็มีเสถียรภาพมากขึ้น

การเติบโตของเหรียญมีม: ปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการคริปโต

A screenshot of a computer Description automatically generated

ในขณะที่ราคา Bitcoin สร้างประวัติศาสตร์ ตลาดเหรียญมีมก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดรวมที่พุ่งแตะ $129 พันล้าน จากรายงานของ CoinGecko พบว่าเหรียญมีมครองส่วนแบ่งความสนใจถึง 31% ของตลาดคริปโตทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

Dogecoin: ราชาแห่งเหรียญมีม

Dogecoin (DOGE) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดเหรียญมีมด้วยมูลค่าตลาด $57 พันล้าน การสนับสนุนจาก Elon Musk และการใช้งานบนแพลตฟอร์ม X ทำให้ DOGE เติบโตถึง 250% ในปี 2024 นอกจากนี้ การที่ Trump แต่งตั้ง Elon Musk เป็นที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพของรัฐบาล ยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับ Dogecoin มากขึ้น

ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของ Dogecoin

  • การยอมรับจากร้านค้าออนไลน์มากขึ้น
  • การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
  • ชุมชนผู้ใช้งานที่แข็งแกร่ง
  • การสนับสนุนจากบุคคลที่มีอิทธิพล

Shiba Inu: คู่แข่งที่น่าจับตามอง

Shiba Inu (SHIB) ยังคงรักษาตำแหน่งอันดับสองด้วยมูลค่าตลาด $14พันล้าน การพัฒนา Ecosystem อย่างต่อเนื่องทำให้ SHIB เติบโต 180% ในปี 2024 ทีมพัฒนาได้เปิดตัวโครงการใหม่หลายอย่าง เช่น

  • การพัฒนา Layer 2 เพื่อลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม
  • แพลตฟอร์ม DeFi ที่ให้ผู้ถือเหรียญสามารถสร้างรายได้
  • โครงการเกมที่ใช้ NFT และ Play-to-Earn
  • ระบบการเผาเหรียญอัตโนมัติเพื่อควบคุมอุปทาน

ปรากฏการณ์หมูเด้ง (Moodeng)

เรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดในตลาดเหรียญมีมคือการปรากฏตัวของ “หมูเด้ง” (Moodeng) เหรียญมีมสัญชาติไทยที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลก โดยมูลค่าพุ่งขึ้น 5,000% ภายใน 48 ชั่วโมง การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยกับเทคโนโลยี Blockchain ได้สร้างความสนใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก

หมูเด้งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดเหรียญมีม โดยได้รับการกล่าวถึงในสื่อต่างประเทศในวงกว้าง และยังจุดประกายให้เกิดเหรียญมีมอีกมากมาย

การยอมรับจากสถาบันการเงินระดับโลก

BlackRock และ MicroStrategy นำทางสู่การลงทุนในคริปโต

ในเดือนตุลาคม BlackRock สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ Larry Fink ประกาศแนะนำให้นักลงทุนจัดสรร 1-2% ของพอร์ตการลงทุนใน Bitcoin คำแนะนำนี้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อวงการการลงทุน เนื่องจาก BlackRock เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า $10 ล้านล้าน Larry Fink กล่าวว่า

“การมี Bitcoin ในพอร์ตการลงทุนจะช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว”

ขณะที่ทางด้าน Michael Saylor ประธานบริษัท MicroStrategy ก็กล่าวว่า Bitcoin แตกต่างจากเดิม เพราะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่ามาก ทั้งการยอมรับจากสถาบัน การพัฒนาเทคโนโลยี และการกำกับดูแลที่ชัดเจนขึ้น

สถาบันการเงินทยอยเปิดบริการคริปโต

การประกาศของ BlackRock ทำให้สถาบันการเงินรายอื่นๆ เร่งพัฒนาบริการด้านคริปโต

  • Goldman Sachs เปิดให้บริการซื้อขายและเก็บรักษา Bitcoin สำหรับลูกค้าสถาบัน โดยใช้เทคโนโลยีพัฒนาร่วมกับ Fidelity Digital Assets
  • Morgan Stanley ขยายทีมวิจัยคริปโต และเริ่มให้คำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้า Private Wealth
  • JPMorgan ยอมรับว่าต้องทบทวนจุดยืนเกี่ยวกับ Bitcoin หลังจากที่เคยวิจารณ์อย่างรุนแรงในอดีต และเริ่มศึกษาการให้บริการด้านคริปโต

การยอมรับในระดับสากล

ในแอฟริกา ไนจีเรียนำหน้าด้วยประชากร 84% ที่มีกระเป๋าเงินคริปโต สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทางเลือกในการทำธุรกรรมการเงินที่เข้าถึงได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายต่ำ

ในเอเชีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดียมีอัตราการใช้งานสูง โดยเฉพาะในด้านการโอนเงินระหว่างประเทศและการชำระเงินออนไลน์

ในยุโรป สหราชอาณาจักรมีผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลถึง 7 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

Trump กับนโยบายสนับสนุนคริปโต: การเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ

ชัยชนะในการเลือกตั้งของ Donald Trump สร้างความหวังใหม่ให้กับวงการคริปโต โดยเฉพาะเมื่อเขาประกาศนโยบายที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน การจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve มูลค่า $20 พันล้าน นับเป็นหนึ่งในนโยบายที่สร้างผลกระทบมากที่สุด

Bitcoin Strategic Reserve: คลังสำรองแห่งอนาคต

แผนการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve ของ Trump มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น

  • การนำ Bitcoin ที่ยึดได้จากอาชญากรรมมาใช้ประโยชน์
  • การซื้อเพิ่มเติมจากตลาดตามความเหมาะสม
  • การสร้างระบบบริหารจัดการที่โปร่งใส

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากนโยบายเดิมที่มักจะขาย Bitcoin ที่ยึดได้ทันที เป็นการเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในระยะยาวแทน

นโยบายส่งเสริมการขุด Bitcoin

Trump ยังประกาศแผนการทำให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางการขุด Bitcoin ของโลก ด้วยมาตรการสนับสนุนที่ครอบคลุม

  • การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด
  • การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

การสนับสนุนนี้ไม่เพียงช่วยอุตสาหกรรมคริปโต แต่ยังส่งเสริมการพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศด้วย

ทีมที่ปรึกษาด้านคริปโต

การแต่งตั้ง Elon Musk และ Vivek Ramaswamy เป็นที่ปรึกษา แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโต โดยทั้งสองคนมีประสบการณ์และวิสัยทัศน์ที่จะช่วยผลักดันนโยบายด้านนี้

Bitcoin ทะลุ $100,000: จุดเปลี่ยนที่สั่นสะเทือนวงการการเงินโลก

การทะลุจุดสูงสุดเดิมของ Bitcoin ในเดือนมีนาคม 2024 สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการการเงินทั่วโลก เมื่อราคาพุ่งทะลุ $69,000 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมจากปี 2021 แต่แรงซื้อมหาศาลจากนักลงทุนสถาบันผ่าน ETF ผนวกกับ ความเชื่อมั่นที่กลับมาของนักลงทุนรายย่อย ทำให้ราคา Bitcoin พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องจนแตะจุดสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ที่ระดับ $108,000 ในเดือนธันวาคม

ปัจจัยหนุนการเติบโต

การอนุมัติ Bitcoin ETF นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการไหลเข้าของเงินลงทุนจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะจาก BlackRock และ Fidelity ที่มีเครือข่ายนักลงทุนขนาดใหญ่ การที่สถาบันการเงินชั้นนำเหล่านี้เข้ามาในตลาดได้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ Bitcoin อย่างมาก

นอกจากนี้ การลงทุนอย่างต่อเนื่องของ MicroStrategy ภายใต้การนำของ Michael Saylor ก็มีส่วนสำคัญ บริษัทได้สะสม Bitcoin เพิ่มขึ้นจนมีมากถึง 439,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ากว่า $47 พันล้าน การลงทุนที่กล้าหาญนี้ไม่เพียงสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับบริษัท แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรายอื่นๆ ด้วย

ความเป็นมืออาชีพที่เพิ่มขึ้น

ตลาด Bitcoin ในปี 2024 แตกต่างจากปี 2021 อย่างสิ้นเชิง ความผันผวนของราคาลดลงกว่า 45% เนื่องจากการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันที่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ระบบการซื้อขายและการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลก็ได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้น

BlackRock ยังได้แนะนำให้นักลงทุนจัดสรร 1-2% ของพอร์ตการลงทุนใน Bitcoin ซึ่งเป็นการยืนยันว่า

“Bitcoin ได้กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้ว”

แหล่งอ้างอิง