3 เสาหลักการเทรดคริปโต Spot, Future, DEX: เลือกซื้อขายแบบไหนให้โดนใจ

นักเขียนย่อให้

บทความนี้อธิบายการเทรดคริปโตทั้งสามรูปแบบหลัก ได้แก่ Spot Trading เหมาะสำหรับมือใหม่และการลงทุนระยะยาว, Future Trading สำหรับการทำกำไรด้วยเลเวอเรจที่ต้องการประสบการณ์สูง และ DEX Trading การเทรดแบบไร้ตัวกลางที่ให้อิสระแต่ต้องระวังเรื่องความปลอดภัย พร้อมเทคนิคการผสมผสานทั้งสามวิธีเพื่อสร้างระบบเทรดที่สมบูรณ์

คำศัพท์สำคัญ

  • Spot Trading: การซื้อขายแบบทันทีด้วยราคาตลาด
  • Future Trading: การซื้อขายล่วงหน้าที่ใช้เลเวอเรจ
  • DEX: ตลาดแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์
  • Leverage: การใช้เงินกู้ยืมเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ
  • Liquidity Pool: กลุ่มสภาพคล่องสำหรับการเทรดบน DEX
  • Stop Loss: คำสั่งขายอัตโนมัติเพื่อจำกัดการขาดทุน
  • Yield Farming: การหาผลตอบแทนจากการให้สภาพคล่อง
  • Impermanent Loss: การขาดทุนชั่วคราวจากการเป็น Liquidity Provider
  • Market Order: คำสั่งซื้อขายทันทีตามราคาตลาด
  • Limit Order: คำสั่งซื้อขายที่ราคาที่กำหนด

บทนำ

เพื่อนๆ ที่กำลังสนใจโลกคริปโตทุกคน วันนี้ เรามาทำความรู้จักกับวิธีการเทรดคริปโตในทุกรูปแบบกัน โลกของการเทรดคริปโตเสมือนโลกของเวทมนตร์อย่างหนึ่ง แต่แทนที่จะเรียนวิชาเวทมนตร์ เราจะมาเรียนรู้วิธีการเทรดทั้ง Spot (วิชาพื้นฐานที่ใครๆ ก็เรียนได้), Future (วิชาขั้นสูงที่ต้องระวังให้ดี) และ DEX (วิชาลับที่ทำให้คุณเทรดได้โดยไม่ต้องง้อใคร)

รู้จักกับคริปโต: ก้าวเข้าสู่โลกการเงินไร้พรมแดน

คริปโตเคอเรนซีเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกการเงินอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อนถ้าเราจะโอนเงินระหว่างประเทศ อาจต้องใช้เวลาหลายวันและเสียค่าธรรมเนียมแพงลิบ แต่ด้วยคริปโต เราสามารถโอนเงินข้ามประเทศได้ภายในไม่กี่นาที ด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ามาก

A globe with hands holding phones Description automatically generated

เทคโนโลยีบล็อกเชนที่อยู่เบื้องหลังคริปโตนั้นทำงานเหมือนสมุดบัญชีขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ในคอมพิวเตอร์ทั่วโลก เวลามีใครโอนเงิน ข้อมูลจะถูกบันทึกลงในบล็อกใหม่และเชื่อมต่อกับบล็อกเก่า เหมือนการร้อยลูกปัดเข้าด้วยกัน แต่ละลูกปัดคือข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้น และเมื่อข้อมูลถูกบันทึกแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขหรือลบออกได้

ในโลกของคริปโตมีเหรียญมากมายหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเด่นต่างกัน

  • Bitcoin – ราชาแห่งคริปโต เปรียบเสมือนทองคำในโลกดิจิทัล มีจำนวนจำกัดแค่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มีความหายากและมีมูลค่าสูง นักลงทุนมักใช้เป็นที่เก็บมูลค่าระยะยาว เหมือนกับที่คนสมัยก่อนเก็บทองคำไว้เป็นสมบัติ Bitcoin ยังเป็นเหรียญที่มีความปลอดภัยสูงที่สุด เพราะมีคนขุดเหรียญ (Miners) จำนวนมากช่วยกันรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย
  • Ethereum – อัจฉริยะแห่งวงการ ไม่ใช่แค่เงินดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนาสามารถสร้างแอพพลิเคชั่นแบบกระจายศูนย์ (DApp) บนบล็อกเชนได้ คิดง่ายๆ ว่าถ้า Bitcoin เป็นทองคำ Ethereum ก็เป็นเหมือนโรงงานอัจฉริยะที่สามารถสร้างอะไรก็ได้ ตั้งแต่เกมไปจนถึงระบบการเงินทั้งระบบ
  • Altcoin – จริงๆ ทุกเหรียญที่ไม่ใช่ Bitcoin ล้วนคือ Altcoin ทั้งสิ้น ซึ่งก็รวมถึง Ethereum ด้วย แต่ในที่นี้ เราจะพูดถึงน้องเล็กในวงการที่มาพร้อมนวัตกรรมต่างๆ เช่น Solana ที่เน้นความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ, Cardano ที่เน้นการพัฒนาบนพื้นฐานการวิจัยทางวิชาการ และ Polkadot ที่พยายามเชื่อมบล็อกเชนต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่ละเหรียญมีจุดเด่นและความเสี่ยงต่างกัน การลงทุนใน Altcoin จึงต้องศึกษาให้ดีและกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม

Spot Trading: เริ่มต้นง่ายๆ ชิลๆ สไตล์มือใหม่

A astronaut floating in front of a computer screen Description automatically generated

การเทรดแบบ Spot นั้นเหมือนการซื้อของในร้านสะดวกซื้อ จ่ายเงินเท่าไหร่ก็ได้สินค้ามูลค่าเท่านั้น ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีค่าถือครอง ไม่มีวันหมดอายุ เป็นวิธีที่ปลอดภัยและเหมาะกับมือใหม่ที่สุด

การเริ่มต้นเทรดแบบ Spot อย่างมืออาชีพ

การเริ่มต้นเทรด Spot นั้นไม่ยาก แต่มีขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำให้ถูกต้อง

  • การเลือกแพลตฟอร์ม: เหมือนการเลือกธนาคารที่จะฝากเงิน ต้องดูความน่าเชื่อถือเป็นหลัก อย่าง Binance ก็เป็นเหมือนธนาคารระดับโลก มีสภาพคล่องสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ และมีเหรียญให้เลือกเทรดมากมาย ส่วน Bitkub เป็นแพลตฟอร์มของไทย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกในการฝากถอนเงินบาท และมีทีมซัพพอร์ตภาษาไทย
  • การยืนยันตัวตน (KYC): เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้บัญชีของคุณปลอดภัยและถูกกฎหมาย ต้องเตรียมบัตรประชาชน ถ่ายเซลฟี่คู่กับบัตร และยืนยันที่อยู่ให้ชัดเจน กระบวนการนี้อาจใช้เวลา 1-3 วันทำการ แต่เมื่อผ่านแล้วจะทำให้คุณเทรดได้อย่างสบายใจ

กลยุทธ์การเทรด Spot ขั้นเทพ

การเทรด Spot ให้ประสบความสำเร็จต้องมีกลยุทธ์ที่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่ได้ผล

  • การวิเคราะห์พื้นฐาน: เหมือนการสืบประวัติแฟนเก่าของคนที่เรากำลังจะจีบ ต้องดูให้ลึกถึงแก่น ทั้งทีมงาน เทคโนโลยี แผนการพัฒนา และการนำไปใช้งานจริง เปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด และประเมินศักยภาพการเติบโตในระยะยาว เพราะการลงทุนใน Spot มักเป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาว

A child looking at a magnifying glass Description automatically generated

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เป็นการดูกราฟราคาและตัวชี้วัดต่างๆ เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อและขายที่เหมาะสม เริ่มจากการเรียนรู้เรื่องแนวรับแนวต้าน เส้นค่าเฉลี่ย และรูปแบบแท่งเทียน การดูกราฟหลายๆ timeframe ประกอบกัน จะช่วยให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มของตลาดได้ชัดเจนขึ้น

เจาะลึกเทคนิคการเทรด Spot อย่างเซียน

การเทรดแบบ Spot ไม่ได้มีแค่การกดซื้อและขายธรรมดา แต่มีคำสั่งมากมายที่จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

A diagram of a stock market Description automatically generated

  • Market Order: เหมือนการซื้อของในร้านด้วยราคาป้าย เหมาะสำหรับตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและต้องการความรวดเร็ว เช่น ถ้าคุณเห็น Bitcoin กำลังจะพุ่งแรงจากข่าวดี การใช้ Market Order จะทำให้คุณไม่พลาดจังหวะ แต่ต้องระวังในช่วงที่ตลาดผันผวนมาก เพราะราคาที่ได้อาจแตกต่างจากที่เห็นบนหน้าจอ
    • ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเห็นราคา Bitcoin ที่ 1,000,000 บาท และกด Market Buy ในช่วงข่าวร้าย ราคาที่ได้อาจพุ่งไปถึง 1,005,000 บาทได้
  • Limit Order: เปรียบเหมือนการวางกับดักราคา คุณตั้งราคาที่ต้องการไว้ และรอให้ตลาดมาหาคุณ เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความอดทนและมีแผนชัดเจน ตัวอย่างเช่น ถ้าราคา Ethereum กำลังอยู่ที่ 50,000 บาท แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคบอกว่ามีแนวรับแข็งแกร่งที่ 48,000 บาท คุณสามารถวาง Limit Buy ที่ 48,100 บาท และรอให้ราคาย่อตัวลงมา วิธีนี้ทำให้คุณได้ราคาที่ดีกว่า Market Order แต่ก็มีความเสี่ยงที่ราคาอาจไม่ลงมาถึงจุดที่ตั้งไว้
  • Stop-Limit Order: เป็นเหมือนเข็มขัดนิรภัยในการเทรด ใช้ป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไปหรือล็อกกำไรเมื่อราคาวิ่งไปในทิศทางที่ต้องการ มีสองส่วนคือ Stop Price (ราคาที่คำสั่งทำงาน) และ Limit Price (ราคาที่ต้องการขาย)

ยกตัวอย่างเช่น คุณซื้อ Bitcoin มาที่ราคา 1,000,000 บาท และไม่อยากขาดทุนเกิน 5% คุณสามารถตั้ง Stop Price ที่ 960,000 บาท และ Limit Price ที่ 950,000 บาท เมื่อราคาลงมาแตะ 960,000 บาท ระบบจะพยายามขายในราคาที่ไม่ต่ำกว่า 950,000 บาท

Future Trading: เมื่อความโลภมาเยือน (ระวังจะเจ็บตัว!)

A person making a face for a picture Description automatically generated

Future Trading เป็นเหมือนการเล่นสเก็ตบอร์ดบนราวบันได มันให้ความรู้สึกตื่นเต้น ได้กำไรเยอะ แต่พลาดนิดเดียวก็เจ็บหนัก การเทรด Future ใช้ระบบเลเวอเรจ ที่ทำให้คุณสามารถเทรดด้วยเงินที่มากกว่าเงินทุนจริงของคุณหลายเท่า

ระบบเลเวอเรจ: เปรียบเหมือนการใช้อุปกรณ์ช่วยงัดก้อนหิน คุณสามารถยกก้อนหินที่หนักกว่าแรงของคุณหลายเท่า แต่ถ้าอุปกรณ์งัดหัก คุณก็อาจบาดเจ็บได้ เช่น ถ้าใช้เลเวอเรจ 10x กับเงิน 10,000 บาท คุณจะเทรดเสมือนมีเงิน 100,000 บาท ถ้าราคาขึ้น 10% คุณจะได้กำไร 100% แต่ถ้าราคาลง 10% คุณจะขาดทุน 100% เงินหายเกลี้ยงในพริบตา

กลไกของ Future Trading ที่ต้องรู้

ระบบมาร์จิ้นเป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Future คิดง่ายๆ ว่ามันคือเงินประกันที่คุณต้องวางไว้เพื่อยืมเงินมาเทรด แบ่งเป็นสองส่วน

  • Initial Margin: เงินประกันเริ่มต้นที่ต้องมีเพื่อเปิดออเดอร์ เหมือนเงินดาวน์บ้าน ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง ยิ่งต้องวางเงินประกันมาก เช่น ถ้าใช้เลเวอเรจ 10x ต้องวางเงินประกัน 10% ของมูลค่าทั้งหมด หากต้องการเทรดด้วยเงิน 100,000 บาท ต้องวางเงินประกัน 10,000 บาท
  • Maintenance Margin: เงินขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ในบัญชีเพื่อไม่ให้โดน Liquidation เหมือนเงินสำรองในบัญชีเพื่อจ่ายค่างวดบ้าน ถ้าเงินในบัญชีต่ำกว่านี้ ระบบจะบังคับปิดสถานะทันที และคุณจะสูญเสียเงินประกันทั้งหมด

การคำนวณกำไรขาดทุนใน Future นั้นซับซ้อนกว่า Spot มาก เพราะมีปัจจัยเพิ่มเติมอย่าง Funding Rate ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่ผู้เทรดต้องจ่ายหรือได้รับทุก 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าตลาดเอนเอียงไปทางไหน ถ้าคนส่วนใหญ่เปิด Long ค่า Funding Rate จะเป็นบวก แปลว่าคน Long ต้องจ่ายให้คน Short

A cartoon of a person crying Description automatically generated

กลยุทธ์การเทรด Future แบบมืออาชีพ

การเทรด Future ที่ประสบความสำเร็จต้องมีระบบและการจัดการความเสี่ยงที่ดี

  • การเทรดตาม Trend: เป็นกลยุทธ์ยอดนิยมที่เน้นการวิเคราะห์ทิศทางหลักของตลาด โดยดู Timeframe ใหญ่ก่อน เช่น รายวันหรือราย 4 ชั่วโมง เพื่อระบุ Trend หลัก จากนั้นจึงลงมาดู Timeframe เล็กลงเพื่อหาจุดเข้าที่ดี เหมือนการดูแผนที่ใหญ่ก่อนแล้วค่อยซูมเข้าหาถนนที่จะใช้เดินทาง

A person running over a graph Description automatically generated

  • การเทรดสวิง: เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ เน้นการเข้าเทรดตามจังหวะกลับตัวของราคา โดยใช้เครื่องมือทางเทคนิคหลายตัวประกอบกัน เช่น RSI, MACD และ Fibonacci Retracement เพื่อยืนยันสัญญาณ การตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเทรดแบบนี้

เจาะลึกการเทรด Future แบบมือโปร

การเทรด Future นั้นซับซ้อนกว่า Spot มาก แต่ก็ให้โอกาสทำกำไรที่สูงกว่า มาดูเทคนิคขั้นสูงกัน

การคำนวณ PNL และการจัดการความเสี่ยง

A scale with arrows and coins on it Description automatically generated

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่จะตัดสินว่าจะอยู่ในวงการเทรดนี้ได้ยาวนานแค่ไหน

  • Cross Margin vs Isolated Margin: สองระบบนี้มีความเสี่ยงต่างกันมาก Cross Margin จะใช้เงินทั้งหมดในบัญชีเป็นหลักประกัน ทำให้ยากที่จะโดน Liquidate แต่ถ้าพลาดอาจหมดเงินทั้งบัญชี ส่วน Isolated Margin จะจำกัดความเสี่ยงเฉพาะเงินที่คุณกำหนด เช่น ถ้าคุณมีเงิน 100,000 บาท และต้องการเทรด Bitcoin Future ด้วยเงิน 20,000 บาท การใช้ Isolated Margin จะทำให้คุณเสี่ยงแค่ 20,000 บาทนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
  • Position Sizing และการคำนวณ Risk-Reward: การกำหนดขนาดการเทรดที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Future เพราะใช้เลเวอเรจ ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงิน 100,000 บาท และใช้กฎ 1% risk ต่อการเทรด นั่นหมายถึงคุณยอมเสียไม่เกิน 1,000 บาทต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ถ้าใช้เลเวอเรจ 10x และตั้ง Stop Loss ที่ 1% จากจุดเข้า ขนาด Position ที่เหมาะสมคือ 100,000 บาท เพราะถ้าราคาวิ่งผิดทางและถึงจุด Stop Loss คุณจะขาดทุน 1,000 บาทพอดี

DEX: โลกใหม่ของการเทรดไร้คนกลาง

A person and person shaking hands Description automatically generated

Decentralized Exchange หรือ DEX เป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเทรดคริปโตไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะต้องฝากเงินไว้กับเว็บเทรดแบบรวมศูนย์ คุณสามารถเทรดได้โดยตรงผ่าน Smart Contract บนบล็อกเชน ควบคุมเงินด้วยตัวเองตลอดเวลา

การทำงานของ DEX และ Liquidity Pool

DEX ทำงานผ่านระบบที่เรียกว่า Automated Market Maker (AMM) แทนที่จะใช้ระบบจับคู่คำสั่งซื้อขายแบบเดิม คิดง่ายๆ เหมือนสระว่ายน้ำที่มีน้ำสองสี (เหรียญสองชนิด) อยู่ในนั้น ราคาจะเปลี่ยนไปตามสัดส่วนของน้ำแต่ละสีในสระ

  • Liquidity Pool: เป็นเสมือนสระที่รวบรวมสภาพคล่องสำหรับการเทรด โดยนักลงทุนสามารถนำเหรียญคริปโตมาใส่ในพูลเพื่อรับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการเทรด เช่น ถ้าคุณใส่ ETH และ USDT ในพูล คุณจะได้รับโทเคน LP ที่แสดงสัดส่วนความเป็นเจ้าของในพูลนั้น และได้รับค่าธรรมเนียมจากทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นในพูล แต่ต้องระวังเรื่อง Impermanent Loss ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อราคาเหรียญทั้งสองเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน
  • Smart Contract Risk: เป็นความเสี่ยงหลักของการใช้ DEX เพราะทุกอย่างทำงานผ่านโค้ดคอมพิวเตอร์ ถ้าโค้ดมีช่องโหว่หรือถูกแฮก เงินในพูลอาจหายไปในพริบตา เหมือนกับการมีตู้นิรภัยที่แข็งแกร่งแต่มีรูเล็กๆ ที่โจรสามารถเจาะเข้ามาได้ การเลือก DEX ที่ผ่านการตรวจสอบโค้ดและมีประวัติการใช้งานที่น่าเชื่อถือจึงสำคัญมาก

ข้อดีและข้อควรระวังในการใช้ DEX

การเทรดบน DEX มีข้อดีหลายประการที่ทำให้มันเป็นที่นิยม

  • ความเป็นส่วนตัว: คุณไม่ต้องผ่านขั้นตอน KYC และสามารถเทรดได้ทันทีที่มีกระเป๋าคริปโต เหมือนการเดินเข้าร้านค้าแล้วจ่ายเงินสด ไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน
  • การควบคุมสินทรัพย์: คุณถือกุญแจกระเป๋าเงินเอง ไม่ต้องฝากเงินไว้กับแพลตฟอร์ม ทำให้ปลอดภัยจากความเสี่ยงที่เว็บเทรดจะถูกแฮกหรือล้มละลาย

แต่ก็มีข้อควรระวังที่สำคัญเช่นกัน

  • ค่าแก๊ส (Gas Fee): โดยเฉพาะบนเครือข่าย Ethereum ที่ค่าธรรมเนียมอาจสูงมากในช่วงที่เครือข่ายคับคั่ง บางครั้งค่าแก๊สอาจสูงถึงหลักพันบาทต่อธุรกรรม ทำให้การเทรดปริมาณน้อยๆ อาจไม่คุ้มค่า วิธีแก้คือการใช้ Layer 2 หรือ Sidechain ที่มีค่าธรรมเนียมถูกกว่า หรือเลือกเทรดในช่วงเวลาที่เครือข่ายไม่คับคั่ง
  • Slippage: เป็นความต่างของราคาระหว่างตอนที่ส่งคำสั่งกับราคาที่ได้จริง โดยเฉพาะในคู่เทรดที่มีสภาพคล่องต่ำ การเทรดปริมาณมากๆ อาจทำให้ราคาเคลื่อนไหวรุนแรง ต้องตั้งค่า Slippage Tolerance ให้เหมาะสม ไม่ต่ำเกินไปจนคำสั่งไม่ผ่าน และไม่สูงเกินไปจนได้ราคาที่แย่

A person looking at a person Description automatically generated

เจาะลึกการใช้ DEX อย่างมืออาชีพ

  • การประเมินความปลอดภัย: ไม่ใช่ทุก DEX จะปลอดภัยเท่ากัน ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น อายุของโปรโตคอล จำนวนครั้งที่ถูก Audit โดยบริษัทชั้นนำ และประวัติการถูกแฮก

ยกตัวอย่างเช่น Uniswap บน Ethereum ถือเป็น DEX ที่น่าเชื่อถือที่สุดตัวหนึ่ง เพราะผ่านการ Audit หลายครั้ง มีประวัติการใช้งานยาวนาน และไม่เคยถูกแฮกสำเร็จ แม้จะมีมูลค่าในระบบมหาศาล

  • การเลือกเชน: แต่ละบล็อกเชนมีข้อดีข้อเสียต่างกัน Ethereum มีความปลอดภัยสูงแต่ค่าแก๊สแพง ในขณะที่ Binance Smart Chain ค่าแก๊สถูกแต่มีการกระจายศูนย์น้อยกว่า คุณต้องชั่งน้ำหนักระหว่างค่าใช้จ่าย ความปลอดภัย และความเร็วในการทำธุรกรรม ถ้าคุณเทรดจำนวนน้อย การใช้ Layer 2 อย่าง Arbitrum หรือ Polygon อาจเหมาะสมกว่า เพราะค่าแก๊สถูกกว่ามาก

ตารางเปรียบเทียบ Spot vs Future vs DEX

ลักษณะการเทรด Spot Trading Future Trading DEX Trading
การทำงาน ซื้อขายทันทีด้วยราคาตลาดปัจจุบัน เหมือนการซื้อของในร้านค้า ซื้อขายล่วงหน้าโดยใช้เลเวอเรจ สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ซื้อขายผ่าน Smart Contract โดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวกลาง
เงินทุนที่ต้องใช้ ต้องมีเงินเต็มจำนวนที่จะซื้อ ใช้เงินทุนน้อย สามารถใช้เลเวอเรจเพิ่มกำลังซื้อ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ต้องการเทรด บวกค่าแก๊ส
ระดับความเสี่ยง ต่ำ-ปานกลาง ขาดทุนไม่เกินทุนที่ลงไป สูงมาก อาจขาดทุนเกินทุนที่ลงทุน หรือโดน Liquidation ปานกลาง-สูง มีความเสี่ยงจาก Smart Contract และ Impermanent Loss
เหมาะสำหรับ มือใหม่ นักลงทุนระยะยาว ผู้ที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ เทรดเดอร์มืออาชีพ ผู้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคดี รับความเสี่ยงสูงได้ ผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีความรู้ด้านบล็อกเชน ชอบทดลองเทคโนโลยีใหม่
ข้อดี ง่าย ปลอดภัย ควบคุมความเสี่ยงได้ดี ไม่มีวันหมดอายุ โอกาสทำกำไรสูง ใช้เงินทุนน้อย เทรดขาลงได้ มีเครื่องมือหลากหลาย ไม่ต้องผ่านคนกลาง ความเป็นส่วนตัวสูง สามารถหา Yield เพิ่มได้
ข้อเสีย กำไรช้า ต้องใช้เงินทุนมาก ทำกำไรได้แค่ขาขึ้น เสี่ยงหมดตัว ต้องจ่าย Funding Rate มีความซับซ้อนสูง ค่าแก๊สสูง อาจถูกแฮก UI/UX ไม่ดีเท่า CEX
ค่าธรรมเนียม ต่ำ เสียแค่ค่า Trading Fee ปานกลาง มีทั้ง Trading Fee และ Funding Rate สูง ต้องจ่ายค่าแก๊สทุกครั้งที่ทำธุรกรรม
การยืนยันตัวตน ต้อง KYC ตามกฎหมาย ต้อง KYC ตามกฎหมาย ไม่ต้อง KYC ใช้แค่กระเป๋าคริปโต
การรับมือภาวะตลาดผันผวน ถือรอราคาฟื้นตัว หรือขายขาดทุน ใช้ Stop Loss ป้องกันการขาดทุน หรือทำกำไรจากราคาลง สามารถทำ Yield Farming หรือย้ายไปเหรียญที่มั่นคงกว่า

A table of text on a screen Description automatically generated

การเลือกวิธีเทรดที่เหมาะกับตัวคุณ

A cartoon of a hand holding a paper towel Description automatically generated

การตัดสินใจเลือกวิธีเทรดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต้องพิจารณาทั้งประสบการณ์ เงินทุน เวลา และความเสี่ยงที่ยอมรับได้

  • Spot Trading – เหมาะสำหรับมือใหม่และนักลงทุนระยะยาว เพราะมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ขาดทุนไม่เกินทุน และไม่มีค่าใช้จ่ายในการถือครอง แต่ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมากถ้าต้องการผลตอบแทนสูง เหมาะกับคนที่มีใจเย็น ชอบวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และพร้อมถือระยะยาวเพื่อรอจังหวะกำไรที่ดี
  • Future Trading – สำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์และกล้าเสี่ยง ให้โอกาสทำกำไรสูงด้วยเงินทุนน้อย แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงสูงเช่นกัน ต้องมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ดี มีระบบบริหารความเสี่ยงที่แม่นยำ และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีเมื่อเผชิญกับความผันผวนของตลาด
  • DEX – เหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและการควบคุมสินทรัพย์ด้วยตัวเอง ต้องมีความรู้ทางเทคนิคพอสมควร เข้าใจการทำงานของบล็อกเชนและ Smart Contract รวมถึงพร้อมรับมือกับค่าธรรมเนียมที่ไม่แน่นอนและความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี

บทสรุป: การเลือกวิธีการเทรดที่ใช่สำหรับคุณ

การซื้อขายคริปโตทั้งสามรูปแบบมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดย Spot Trading เป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับทุกคน ด้วยความเรียบง่ายและความเสี่ยงที่จำกัด เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวและการสะสมเหรียญที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง

Future Trading เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนผ่านการใช้เลเวอเรจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และเข้าใจการบริหารความเสี่ยง สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ในขณะที่ DEX นำเสนอนวัตกรรมการเทรดแบบไร้ตัวกลาง นอกจากการซื้อขายแล้ว ยังมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติมจาก Yield Farming และการเป็น Liquidity Provider

การผสมผสานทั้งสามวิธีอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณรับมือกับทุกสภาวะตลาดได้ โดยใช้ Spot เป็นฐานที่มั่นคง ใช้ Future เพิ่มผลตอบแทนในจังหวะที่เหมาะสม และใช้ DEX เข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในวงการ DeFi

ความสำเร็จในการเทรดคริปโตไม่ได้อยู่ที่การเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง แต่อยู่ที่การเข้าใจจุดแข็งและข้อจำกัดของแต่ละวิธี เพื่อนำมาใช้ให้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและการรักษาวินัยในการบริหารความเสี่ยงจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว

แหล่งอ้างอิง